เที่ยวไม่สนุกแล้ว! ชาวเบนซินกุมขมับ น้ำมันขึ้นราคารับหยุดยาว แวะเติมด่วน

เที่ยวไม่สนุกแล้ว! ชาวเบนซินกุมขมับ น้ำมันขึ้นราคารับหยุดยาว แวะเติมด่วน

วันที่ 21 ต.ค.65 รายงานข่าวแจ้งว่า พีทีที สเตชั่น และบางจากปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 22 ต.ค.2565 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

ส่งผลให้เบนซินอยู่ที่ 43.06 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 35.65 บาทต่อลิตร E20 อยู่ที่ 34.54 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 35.38 บาทต่อลิตร E85 อยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร พรีเมี่ยม แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 41.14 บาทต่อลิตร

ขณะที่ กลุ่มดีเซลคงเดิม โดยดีเซล B7 อยู่ที่ 34.94 บาทต่อลิตร ดีเซล B10 อยู่ที่ 34.94 บาทต่อลิตร ดีเซล B20 อยู่ที่ 34.94 บาทต่อลิตร และพรีเมี่ยมดีเซล B7 อยู่ที่ 43.66 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

Cr.ข่าวสด

ได้ยินแล้วใจสั่น! ใครใกล้หมดรีบแวะเติมเลย น้ำมันขึ้นราคาอีกแล้ว มีผลตี 5

ปตท.และบางจาก ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร เว้น E85 ปรับขึ้น 30 สตางค์ต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิด ปรับขึ้น 10 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 20 ม.ค.65 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

สำหรับราคาน้ำมัน ดีเซลพรีเมียม บี 7 ปรับขึ้น 10 สตางค์ เป็น 35.96 บาท/ลิตร ดีเซลบี 7 ปรับขึ้น 10 สตางค์ เป็น 29.94 บาท/ลิตร ดีเซล ปรับขึ้น 10 สตางค์ เป็น 29.94 บาท/ลิตร ดีเซลบี 20 ปรับขึ้น 10 สตางค์ เป็น 29.94 บาท/ลิตร

ส่วนราคาเบนซิน ปรับขึ้น 50 สตางค์ เป็น 40.56 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้น 50 สตางค์ เป็น 33.15 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ปรับขึ้น 50 สตางค์ เป็น 32.88 บาท/ลิตร E20 ปรับขึ้น 50 สตางค์ เป็น 31.64 บาท/ลิตร และ E85 ปรับขึ้น 30 สตางค์ เป็น 24.94 บาท/ลิตร

ที่มา:ข่าวสด

ลุยตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท! กพช.ไฟเขียวลดเงินส่งเข้ากองทุนฯ เป็นเวลา 1 ปี

ลุยตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท! กพช.ไฟเขียวลดเงินส่งเข้ากองทุนฯ เป็นเวลา 1 ปี เหลือแค่ 145-150 ล้านบาท จาก 3,500 ล้านบาท พร้อมปรับหลักเกณฑ์ขยายเพดานกู้ได้เกิน 20,000 ล้านบาท หากมีความจำเป็น

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเห็นชอบลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตา ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือภายในปี 2565 ส่งผลให้การเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ จะเหลือประมาณ 145-150 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่เคยเก็บอยู่ประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี และปี 2566-67 จะเก็บในอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

นอกจากนี้ กพช.ยังเห็นชอบให้ทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 2563-2567 เพื่อรับรองกรณีมีการเปลี่ยนแปลงวงเงินกู้ โดยให้การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีจำนวนเงินเพียงพอสำหรับใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ต้องไม่เกินจำนวน 40,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 แห่ง พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562

“ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ มีเงินอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งหากขยายเพดานเงินกู้ที่รวมกับเงินกองทุนน้ำมันฯ แล้วไม่เกิน 40,000 ล้านบาท ขณะนี้จะสามารถกู้ได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่เบื้องต้นจะกู้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาทก่อน เพราะเชื่อว่าจะเพียงพอสำหรับดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทไปได้ถึงเดือนเม.ย.2565 และเชื่อว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยคาดว่าจะมีเงินกู้ส่วนนี้เข้ามาดำเนินการได้ในช่วงกลางเดือนม.ค.-ก.พ.2565”

อย่างไรก็ตาม การทบทวนแผนรองรับวิกฤตครั้งนี้ เป็นการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบริหารกองทุนน้ำมันฯ และกิจการอื่นที่เกี่ยวกับ หรือเกี่ยวเนื่องกับการจัดการกิจการของกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นชอบหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT ปี 2565 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10-50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) พิจารณากำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินการแต่ละโครงการต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าต่อไป

ที่มา:ข่าวสด